การเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้หญิงทุกคนควรได้รับ นโยบายยุติการตั้งครรภ์ในประเทศไทย ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อตอบสนองต่อสิทธิดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขกฎหมายในปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เพิ่มทางเลือกและคุ้มครองความปลอดภัยให้กับผู้หญิงมากขึ้น บทความนี้จะเจาะลึกถึงรายละเอียดของนโยบายยุติการตั้งครรภ์ในประเทศไทย ทั้งในแง่ของกฎหมาย เงื่อนไขการให้บริการ และแนวทางการเข้าถึงบริการที่ปลอดภัย เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและตระหนักถึงสิทธิของตนเอง
การปรับปรุงกฎหมายการยุติการตั้งครรภ์
จากกรณีที่ผู้หญิงจำนวนมากหันไปพึ่งพาการทำแท้งเถื่อน ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นอันตรายต่อทั้งชีวิตและสุขภาพ ทำให้เริ่มมีการปรับปรุงกฎหมาย จนกระทั่งใน เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 และ 305 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เพิ่มการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย และถูกกฎหมายมากขึ้น

สาระสำคัญของกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ฉบับแก้ไข
มาตรา 301 เดิมกำหนดให้หญิงที่ทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนเองแท้งลูก มีความผิด แต่กฎหมายใหม่ ยกเลิกโทษของผู้หญิงที่ทำแท้งเอง หรือยินยอมให้ผู้อื่นทำแท้งให้ในอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์
มาตรา 305 เดิมอนุญาตให้แพทย์ทำแท้งได้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเพื่อสุขภาพของหญิง หรือกรณีตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน กฎหมายใหม่ขยายขอบเขตให้แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
- อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ หญิงตั้งครรภ์สามารถตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องระบุเหตุผล
- อายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ หากเข้าเงื่อนไขดังนี้
- การตั้งครรภ์นั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย หรือสุขภาพจิตของหญิงตั้งครรภ์
- ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงสูงที่จะพิการ หรือเป็นโรคร้ายแรง
- การตั้งครรภ์เกิดจากการถูกข่มขืน กระทำชำเรา การล่อลวง หรือการอนาจาร
- ทั้งนี้ ต้องผ่านกระบวนการ “ปรึกษาทางเลือก” ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรับข้อมูลอย่างครบถ้วน และตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง
การเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย
- สถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศรายชื่อสถานบริการที่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย สามารถตรวจสอบรายชื่อได้จากเว็บไซต์ของสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย หรือเว็บไซต์ RSA Thai
- สายด่วน 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม ให้บริการข้อมูล คำปรึกษา และประสานส่งต่อไปยังสถานบริการที่เหมาะสม โดยยึดหลักการรักษาความลับ และความปลอดภัยของผู้รับบริการ
- RSA (Referral System for Safe Abortion) เครือข่ายอาสาสมัครเพื่อการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย สามารถค้นหาข้อมูล และติดต่อขอรับคำปรึกษาได้ทางเว็บไซต์ rsathai.org และ Facebook Page RSA Thaï และ RSA 1663

ประเด็นที่ยังคงถกเถียงและแนวโน้มในอนาคต
แม้กฎหมายจะมีการแก้ไข แต่ยังมีประเด็นที่ยังคงถกเถียง และต้องผลักดันต่อไป เช่น
- การเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกล สถานบริการที่ได้มาตรฐานอาจยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้ผู้หญิงในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงบริการได้ยาก
- ทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์บางส่วนอาจยังมีทัศนคติเชิงลบต่อการยุติการตั้งครรภ์ ส่งผลต่อการให้บริการ
- การตีความกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีอายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ ที่ต้องผ่านการพิจารณาตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสถานพยาบาล
- การขยายอายุครรภ์ ยังคงมีการเรียกร้องให้ขยายอายุครรภ์ที่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างถูกกฎหมายออกไปอีก เพื่อครอบคลุมกรณีที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ความผิดปกติของทารกที่เพิ่งตรวจพบในภายหลัง
นโยบายการยุติการตั้งครรภ์ในประเทศไทยเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงและลดความเสี่ยงจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงในเชิงปฏิบัติ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้หญิงทุกคนสามารถเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยและได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม ทั้งนี้ การสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคมจะช่วยให้เกิดการยอมรับและการดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย
บทความนี้เป็นเพียงการสรุปข้อมูลเบื้องต้น หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ท้องไม่พร้อม หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อสายด่วน 1663 กระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับคำปรึกษา และความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป